หน้าเว็บ

วันจันทร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

"ตัวกูผู้เทพอุดร พร้อมด้วยลูกหลาน....

พอคลอดออกมาเป็นผู้ชายจริงๆ หน้าตาน่ารักน่าชัง (ตอนพระเณรมาธุดงค์เดือนเมษายน เขาพามาให้หลวงปู่ดู ท่านให้นิลหนึ่งเม็ด กับเงินอีก ๕ บาทแล้วยังทักอีกว่า "ลูกของมึงดื้อ") แต่เขายิ่งมาเอะใจ เมื่อตอนที่มีคนนำพระพุทธ-รูปองค์ใหญ่ปางลีลาสีดำมาถวาย หลายคนช่วยกันนำขึ้นมาบนถ้ำ ประดิษฐานเป็นพระประธาน ก่อนประดิษฐานท่านเขียนที่ฐานว่า
"ตัวกูผู้เทพอุดร พร้อมด้วยลูกหลาน.... " จากนั้นทุกคน ณ ทีนั้น เขียนชื่อตัวเองลงไป (พระพุทธรูปองค์นี้ต่อมาได้ทาสีปิดทอง ส่วนที่เป็นผิวเนื้อ และยอดพระเกศ จีวรทาสีกรัก งดงามมาก) ชัยพรปักใจว่าท่านคือ "หลวงปู่พระครูเทพโลกอุดร" ส่วนใหญ่ผู้คนจะคิดกันอย่างนั้น
ขณะนั้นฉันได้ยินเสียงท่านปลอบโยนใครคนหนึ่ง ซึ่งกำลังร้องไห้อยู่บนกุฏิ มองไปเห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งซบหน้าบนตักของท่านพร้อมกับสะอึกสะอื้น เสียงท่านอบรมเทศนาให้สติ
"ลูกผู้ชายต้องเข้มแข็ง พบปัญหาแค่นี้ยังทนไม่ได้ ต่อไปจะอยู่ในโลกนี้ได้อย่างไร หนทางข้างหน้ายังอีกยาวนาน เราควรขอบคุณเขาที่เขาทำกับเราอย่างนั้น เพราะนั่นแหละคือครูผู้วิเศษ สำหรับหลวงปู่แล้ว ถ้าให้เลือกอยู่ระหว่างมิตรกับศัตรู หลวงปู่ขอเลือกอยู่กับศัตรู เหตุผลก็เพราะว่า ถ้าเราอยู่กับมิตร เราจะขาดความระมัดระวัง หลงระเริงไปกับคำยกยอของเขา จนในที่สุดเราอาจจะเสียคน แต่ศัตรูจะทำให้เราคอยระวังตัว ไม่ทำในสิ่งที่ผิดๆ"
ฉันถามชัยพรว่า ใครหรือที่กำลังร้องไห้ และร้องทำไม เขาเล่าว่าชื่อ "เอก" บ้านอยู่หัวหิน แต่ไปเรียนที่กรุงเทพฯ เป็นลูกศิษย์ สมภารอาทิตย์ ต่อมาได้พบกับหลวงปู่ ประกอบกับสมภารไม่ค่อยได้อยู่ที่ถ้ำ เขาเลยหันมาคลุกคลีกับหลวงปู่ แต่เขาก็ไม่ลืมอาจารย์เก่า พอรู้ข่าวว่าสมภารกลับมาแล้วเมื่อคืนตอนเช้าอุตส่าห์ลงจากถ้ำ ไปซื้ออาหารมาถวาย สมภารไม่รับ เขาเสียใจมากถึงกับร้องไห้อย่างที่เห็นนี่แหละ
สรุปเมื่อพบกับท่านครั้งแรก
๑. เป็นพระหนุ่ม แต่จากการพูดคุยกันรู้สึกจะมีภูมิความรู้สูง ซึ่งจะต้องพิสูจน์ต่อไปว่า รู้จริงแค่ไหน 
๒. เป็นใคร? มาจากไหน? อย่าได้ถาม เพราะไม่ตอบและใครๆ ก็ไม่รู้ จะต้องสืบหาให้ได้ 
๓. พูดจาไม่เพราะในถ้อยคำ แต่เสนาะล้ำลึกในถ้อยที 
๔. รักเด็ก รักธรรมชาติ 
๕. มีบุคลิกที่เป็นธรรมชาติ เป็นตัวของตัวเองมาก 
๖. สุขภาพไม่ใคร่ดีนัก โรคประจำตัวได้แก โรคลำไส้ โรคไซนัสฯลฯ 
๗. สิ่งที่เกลียด 
ความสับสนสวุ่นวาย มากพิธี 
การแตกความสามัคคี 
ความโอ่อ่า หรูหรา ของพวกผู้ลากมากดี 
การเสแสร้ง ชอบทำงานเอาหน้า 
๘. สิ่งที่แพ้ 
ของกลิ่นแรง เช่น ทุเรียน สะตอ ชะอม ฯลฯ 
อากาศชื้น ตัวไรในถ้ำ
มีคนพูดว่าท่านมาอยู่ถ้ำนี้ด้วยเหตุ ๓ ประการ
๑. เพื่อพักรักษาตัว หนีคนมาจากวัดโน้น เพราะทนไม่ไหว ถูกรบกวนมาก ทำงานก็หนักจนป่วยแทบแย่ (ลูกศิษย์เล่าให้ฟัง)
๒. เพื่อสร้างพระเครื่อง ๘๔,๐๐๐ องค์ ถวายในหลวง ท่านบอกว่าถ้ำนี้มีพลังเหมาะสำหรับสร้างวัตถุมงคล
๓. ต้องการพบคนเก่า คงหมายถึงบริวารที่ติดตามกันมาแต่อดีตชาติ เคยถามท่านว่าใช่ไหม (เมื่อคุ้นเคยกันมากขึ้น) ท่านทำเสียงอาเจียนใส่!
เหตุผล ๓ ข้อนี้ พี่เฉลิมชัย (ศิษย์อีกคน) เล่าให้ฟัง
เพื่อให้เรื่องที่จะเล่าต่อๆ ไปสนุกสนานยิ่งขึ้น ขอแนะนำตัวละครดังต่อไปนี้
"จ่าเวียง" บางทีก็เรียก "จ่าดำ" เป็นทหารจากค่ายธนรัชต์ ปราณบุรี ผิวดำ ล่ำสัน (แต่ตอนนี้ผอมลง) ผมหยิกตัดสั้นเกรียน ตาดุเข้มแบบคนปักษ์ใต้ มาจากนครศรีธรรมราช เป็นกำลังสำคัญเกี่ยวกับงานโยธาทุกชนิด ชาวถ้ำได้รับความสะดวกสบายในหลายๆ เรื่องก็เพราะเขานั่นแหละ จ่ามีความเคารพรักหลวงปู่อย่างสุดชีวิตจิตใจสมองแววตาเขาก็รู้ วันไหนเป็นวันหยุดเขาจะต้องมาค้างที่ถ้ำ เวลาพูดกับหลวงปู่เขาจะนั่งพับเพียบพนมมือแต้ "ปู่คร้าบ" ทุกคำภรรยาชื่อ "อู๊ด" อ้วน ใหญ่ ทำอาหารเก่ง
"พี่เดช" เป็นตำรวจพลร่มค่ายนเรศวรหัวหิน ร่างล่ำใหญ่ แต่ใจไม่ค่อยสู้ ตัดผมเกรียน หัวเป็นเขียงสับหมูเชียว ลักษณะชอบดันทุรัง ตลกหน้าตายชอบพูดงึมงำสำเนียงลาว ขวานผ่าซาก ชอบพูดยียวนกวนคนไปอย่างนั้นเอง ต่อหน้าหลวงปู่เขาจะซึมทีเดียว พอถามถึงคุณวิเศษของท่าน เขาได้แต่ส่ายหน้า "พูดบ่ ถืก" มีภรรยาชื่อ "อิ๋ว" เป็นคนอีสานเช่นกัน อิ๋วเป็นครู นิสัยเรียบร้อย ขยัน อารีอารอบ เธอพูดว่า "คนเราถ้ารักจะคบกันแล้ว ก็ไม่ต้องไปสนใจหรอกว่าจะเป็นใคร มาจากไหน" ประโยคนี้ หลวงปู่ชอบใจมาก เพราะเป็นคำพูดที่มาจากหัวใจซื่อๆ ท่านนำมาพูดล้อเลียนเสมอๆ
"พี่เดิม" เป็นตำรวจพลร่มเช่นกัน หุ่นตรงข้ามกับพี่เดชคือผอม สูง แต่เป็นคนอีสานเหมือนกัน อยากจะเรียกพี่เดชกับพี่เดิมว่า "อ้วน ผอม จอมตลก" นึกถึงไอ้แก้ว ไอ้ขวัญ ตัวตลกหนังตลุง เป็นคู่หูคู่ฮาประจำถ้ำ พี่เดิมมีลักษณะคล้ายท่านมหา เปรียญ ๔ ประโยค อะไรทำนองนั้น แกชอบนั่งท่าพับเพียบนิ่งก้มหน้างุด แต่หูคอยผึ่งฟังเสียง ชำเลืองหางตามอง ตัวแข็ง ปากเม้มทำจมูกฟุดฟิด คิ้วขมวด มาดขรึม พูดเหน็บแนมคนเก่ง เจ้าหลักการ ถ้าใครอยากรู้ตำนานหลวงปู่บินแล้วละก็ พี่เดิมจะรู้ซึ้งยิ่งกว่าใครๆ ภรรยาพี่เดิมชื่อ"นิด" ตัวเล็ก ร้องเพลงเพราะทำงาน เป็นเจ้าหน้าที่สาธารณสุขเทศบาลหัวหิน
"บุญชู" อยากจะเรียก "โกไลแอทผู้ทรงพลัง" แข็งแรงเป็นที่สุด ก็โซฟาตัวเบ้อเร่อ คุณวันเพ็ญซื้อถวาย แกแบกมาขึ้นมาคนเดียวให้หลวงปู่นอนพักในถ้ำ บุญชูบอกว่า "หลวงปู่เป็นที่สุด ของที่สุดของผม ผมรักท่านเหมือนพ่อคนที่สอง"
"พี่ประยูร คงประเสริฐ" ครูใหญ่โรงเรียนบ้านหนองซอ บ้านเกิดอยู่เพชรบุรี แต่มาอยู่หนองพลับ ได้ภรรยาเป็นคนที่นั่น พี่ยูร (เรียกสั้นๆ) ได้เป็นประธานชมรมธรรมะอิสระในเวลาต่อมา (พี่ยูรเขียนเรื่อง "ครั้งหนึ่งในชีวิตที่ถ้ำไก่หล่น" ในเล่มนี้ด้วย) พี่ยูรพูดเสมอว่า "หลวงปู่เปรียบเสมือนปู่ย่าตายายของพวกเรา พอตกเย็นจะมีลูกหลานนั่งล้อมรอบฟังปู่เล่านิทาน ท่านจะเล่าเรื่องเก่าๆสมัยที่ท่านธุดงค์ไปยังที่ต่างๆ" เรื่องที่ท่านเล่าบางเรื่องเก่าจนผู้ฟังงง ถ้าเอาร่างปัจจุบันเป็นเกณฑ์จะเป็นอย่างไร ป่วยการที่จะไปคิด ปวดศีรษะเปล่าๆ
พี่ยูรเล่าให้ฟังว่า เมื่อ ๒๐ กว่าปีมาแล้ว เขากับภรรยา พาลูกชายชื่อ "แอ๊ด" อายุไม่กี่เดือนไปหาหลวงพ่อพุดซ้อนที่ถ้ำลับแล (ก่อนถึงถ้ำไก่หล่น) เพราะหนูน้อยชอบชัก จะให้หลวงพ่อเป่ากระหม่อม เขาเห็นหลวงปู่อยู่กับหลวงพ่อ แต่ไม่ได้สนใจอะไร จากนั้นไม่เคยพบท่านอีกเลย จวบจนลูกชายเขาโตเป็นหนุ่มอายุ ๒๐ กว่า มีลูกเมียแล้ว เพิ่งพบหลวงปู่เป็นครั้งที่ ๒ ร่างเดิมนี่แหละ ไม่แก่เลย
อีกเรื่อง พี่ยูรเล่าว่าคนรู้จักกันไปหาขี้ค้างคาวที่เขาตอหม้อ (อำเภอท่ายาง) แล้วตกลงไปในเหวได้รับบาดเจ็บจนสลบ พอฟื้นขึ้นมาก็ร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด ขยับไปไหนไม่ได้ นอนอยู่ท่ามกลางความมืดเป็นเวลาหลายวัน หิวข้าวหิวน้ำใจจะขาด จู่ๆ ก็มีพระภิกษุหนุ่มรูปหนึ่งมาช้อนศีรษะเอาน้ำให้ดื่ม แล้วบอกว่า "ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวก็มีคนมาช่วย" แล้วจากไป
เขานอนคอยจนมีญาติตามหาเขาจนพบจริงๆ พี่ยูรรู้เรื่องราวทั้งหมดจวบจนเหตุการณ์ผ่านไปนานนับหลายปี เขาได้พบหลวงปู่ ท่านเล่าเหตุการณ์ให้ฟังถึงสมัยมาธุดงค์ที่เขาตอหม้อ เป็นเหตุการณ์เดียวกัน! พี่ยูรตื่นเต้นมากนึกไม่ถึงว่าพระรูปนั้น คือหลวงปู่นั่นเอง
หลวงปู่เล่าว่า "กูได้ยินเสียงคนร้องครางโอยๆ เดินไปดู เจอไอ้หมอนั่นสมองมันเจ็บเอาการ...มันใช้กรรมด้วย"
พี่ยูรบอกหลวงปู่ว่า "ตอนนี้เขาเบลอๆ ครับ"
"ใช่ซิ หัวมันกระแทกพื้นขนาดนั้น... มึงอย่าไปบอกมันนะว่าเจอกู เดี๋ยวก็แห่กันมา กูขี้เกียจยุ่ง"
ภรรยาพี่ยูร ชื่อ "แพว" แต่หลวงปู่เรียก "อีแหมบ" ไม่ทราบแปลว่าอะไรแต่ให้อารมณ์ขันกับผู้ฟังได้ดี เธอมีนิสัยแสนงอน กระเง้ากระงอดเหมือนเด็กๆ เวลาไม่พอใจอะไร จะย่นเสียงแหงบๆ เธอทำให้คนหัวเราะมากที่สุด ไม่ใช่ว่าเธอจะตลกโปกฮาอะไรหรอก เป็นคนขี้อายด้วยซ้ำ แต่ชอบพูดอะไรโพล่งๆ ซื่อๆ สำเนียงเหน่อๆ และถูกหลวงปู่ล้อเลียนบ่อยๆ จึงกลายเป็นเรื่องตลกทุกที
นอกจากนี้มี "สุภาพ" หนุ่มปักษ์ใต้ เป็นตำรวจพลร่มกับ"จี๊ด" ครูสาวชาวหัวหิน "พี่เฉลิมชัย" ข้าราชการกระทรวงเกษตร ลาออกมาประกอบธุรกิจกับ "น้อย" แสนสวย
"จรรยา" คนปักษ์ใต้ ครูใหญ่บ้านหนองกระทุ่ม กับ "สุชาติ" ครูเหมือนกัน ฯลฯ (สุชาติเขียนเรื่อง "เพื่อนใหม่ชีวิตใหม่" ในเล่มนี้)
ประวัติถ้ำไก่หล่นก็เล่าไปแล้ว ถ้าจะเอาประวัติแบบหลวงปู่ คือ ถ้ำแห่งนี้เคยมีพระโพธิสัตว์มาอยู่แล้ว ๔ องค์ (แล้วก็องค์ที่ ๕ ล่ะ) ตีนถ้ำด้านหลังเป็นทะเลมาก่อน (ดูหลักฐานได้จากผนังถ้ำแถบนั้น มีซากฟอสซิล) ท่านเขียนบทโศลกขึ้นมาบทหนึ่งว่า
"สรรพสิ่งเริ่มประปราย ดารารายเปลี่ยนวิถี ทะเลลึกเนิ่นนานปี มาบัดนี้กลายเป็นสูง"
ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ต้องตกอยู่ภายใต้กฎพระไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มันไม่เที่ยง มีการเปลี่ยนแปลงเป็นนิจ เป็นทุกข์ ทนสภาพเดิมได้ยาก ไม่มีตัวตนเกิดขึ้นในเบื้องต้นแปรปรวนในท่ามกลาง และสลายไปในที่สุด จากท้องทะเลอันกว้างใหญ่ไพศาล ยังกลายเป็นภูเขาได้
จากการมาพบพระประหลาดตามข่าวลือเพียงวันเดียว ก็ได้พบและสะดุดตาสะดุดใจในข้อวัตรปฏิบัติ ตลอดจนปฏิปทา ซึ่งผิดแผกแตกต่างไปจากที่อื่นโดยสิ้นเชิง ชวนให้ติดตาม ใครๆ จะปักใจว่าท่านคือ "หลวงปู่พระครูเทพโลกอุดร" แต่แปลกที่ฉันไม่เคยคิดอย่างนั้น ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้เคยอ่านประวัติของพระครูเทพโลกอุดรมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน อ่านแล้วก็แล้วกันไปไม่เคยคิดจะตามหาเพราะใจคิดเสมอว่านั่นเป็นเพียงเรื่องเล่า หาคนยืนยันไม่ได้ว่าตัวจริงมีหรือเปล่า แล้วพระในตำนานอายุเป็นร้อยเป็นพันจะมาเกี่ยวข้องอะไรกับคนในยุควิทยาศาสตร์อย่างนี้ ถึงท่านจะไม่ใช่พระครูเทพโลกอุดร ก็ไม่ได้ทำให้ฉันสนใจในตัวท่านน้อยลง ตรงกันข้ามกลับให้ความสำคัญมากกว่าพระองค์ใดๆ ที่เคยไปกราบมา เพราะเห็นความมหัศจรรย์ในตัวท่านหลายอย่าง ซึ่งจะค่อยๆ เล่าให้ฟัง
อย่างไรก็ตาม ใจคิดอยู่เสมอว่าพระรูปนี้ยังมีอะไรๆลึกลับ ต้องติดตามดูกันต่อไป ถึงท่านจะพูดได้สาระน่าฟังก็จริง แต่เราจะรู้ได้อย่างไรว่าท่านเป็นพระแท้ มีคุณธรรมแค่ไหน ต้องมีวันพูดผิดทำผิดบ้างแหละ จะจับผิดท่านให้จงได้
จากวันนั้นก็เที่ยวไปหาท่านมิได้ขาด จากวันเป็นสัปดาห์ จากสัปดาห์เป็นเดือน จากเดือนเป็นหลายๆเดือน ค่อยๆพบความแปลกใหม่ไม่มีใครเหมือน ยิ่งคอยจับผิดยิ่งพบกับความมหัศจรรย์สุดพรรณนาในตัวท่าน ซึ่งไม่เคยพบที่ใดมาก่อน และไม่เคยคิดเลยว่าชาตินี้จะได้พบพระแบบนี้ ราวกับหลุดเข้าไปในอีกมิติหนึ่ง ความรู้ทุกสาขาวิชาพรั่งพรูจากปากท่าน ฟังแล้วมิรู้เบื่อ ไม่ว่าจะเป็นประวัติศาสตร์ ดาราศาสตร์ โหราศาสตร์ ภาษาศาสตร์ ศิลปศาสตร์สฯลฯ
วิสัยทัศน์ของท่านกว้างไกลเกินกว่ามนุษย์ธรรมดาพึงจะมี ขนาดดอกเตอร์กลายเป็นขี้เท่อเวลาสนทนากับท่าน เรื่องอิทธิฤทธิ์น่ะหรือเห็นจนเบื่อ สมัยอยู่ถ้ำ ลูกศิษย์ของท่านส่วนใหญ่เป็นคนเกเร แข็งกระด้าง เชื่ออะไรยาก ท่านจึงใช้ฤทธิ์ปราบ ได้ผลยอมสยบโดยมิมีข้อแม้ การแสดงธรรมไม่มีพิธีรีตอง แสดงได้ทุกเมื่อถ้ามีโอกาส สอนแล้วลงมือทำให้ดู
ถามท่านว่าจบชั้นอะไร ท่านตอบ "จบ ป. ๔"
ใครจะเชื่อ? ที่แปลกอีกเรื่องคือไม่มีใครรู้ประวัติความเป็นมาของท่านเลย ไม่ว่าจะเป็นที่เกิด ชื่อ อายุฯลฯ ยิ่งชวนให้สงสัยว่า จะมาไม้ไหนกันแน่....